

ความสําคัญและที่มาของปัญหาการวิจัยการประกาศใช้ พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 การจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินไนประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ละปีจํานวนผู้ป่วยฉุกเฉินขอรับการบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ การกระจายและการจัดสรรทรัพยากรให้แต่ละพื้นที่ (จังหวัด) มีความแตกต่างกัน ทําให้ไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่และรองรับผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างครอบคลุม เกิดช่องว่างการให้การบริการ (อุปทาน) และเข้าไม่ถึงการบริการพร้อมกัน (อุปสงค์)
วัตถุประสงค์การวิจัย มี 2 ประการ คือ หนึ่ง ศึกษาปัญหาความเหลื่อมล้ําที่เกี่ยวข้องกับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน โดยประมวลข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อเข้าใจสถานการณ์การให้บริการบริการแพทย์ฉุกเฉินในแต่ละจังหวัด และสอง การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนําผลมาอภิปรายเชิงนโยบายสาธารณะ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ํา และเพิ่มประสิทธิผลการให้บริการ EMS
วิธีการศึกษา การรวิจัยใช้วิธีการเชิงปริมาณ โดยประมวลและวิเคราะห์จากฐานข้อมูลการแพทย์ฉุกเฉิน (ITEM) ทําการวิเคราะห์และเปรียบเทียบอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น (incidence) และชี้วัดผ่านตัวชี้วัดการจัดบริการ (service provision) อีกทั้ง ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ลงพื้นที่ภาคสนาม สัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและจัดประชุมกลุ่มย่อย เพื่อสังเคราะห์ปัญหาและแนวทางปรับปรุงระบบบริการ
ผลการศึกษา พบว่า (1) ระบบ EMS มีการกระจายตัวทุกจังหวัด แต่ทุกจังหวัดมีความแตกต่างกันในมิติพื้นที่ อาจมีปัญหาความไม่พอเพียงของการบริการและความไม่มีประสิทธิผล (2) จํานวนการให้บริการ EMS มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ความต้องการแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ การป่วยฉุกเฉิน และอุบัติเหตุทางถนน ทั้งนี้ จํานวนผู้ป่วยฉุกเฉินที่ขอใช้บริการส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน (3) โดยเฉลี่ยร้อยละ 70 ของการบริการ EMS สามารถเข้าถึงผู้ป่วยฉุกเฉินได้ภายในเวลา 8 นาที อีกร้อยละ 30 ใช้เวลาเกินกว่าเป้าหมาย เนื่องจากอุปสรรคหลายรูปแบบของพื้นที่ (จังหวัด) ที่มีความแตกต่างกัน (4) แต่ละจังหวัดมีสัดส่วนจํานวนผู้ป่วยฉุกเฉินจากอุบัติเหตุทางถนนต่อจํานวนผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งหมด แตกต่างกัน ทั้งนี้ ผู้ป่วยฉุกเฉินจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุสําคัญ ส่งผลต่อภาระการท้างานที่มากขึ้น (5) ดัชนีภาระงาน (Workload indicator) มีความเหลื่อมล้ําระหว่างจังหวัดอย่างมีนัยสําคัญ (6) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้กําหนดนโยบายเร่งการถ่ายโอนภารกิจศูนย์สั่งการการแพทย์ฉุกเฉินให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นกลไกดําเนินการ และ (7) การประเมินประสิทธิผลการบริการ (policy effectiveness) ตามเกณฑ์ระยะเวลาการเข้าถึงผู้ป่วย (response time) ภายใน 8-10 นาที แต่ละจังหวัดมีความแตกต่างกัน
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ก) ควรจัดสรรทรัพยากรให้กับบางพื้นที่ (ระดับจังหวัด) ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์การได้รับทรัพยากรทางการแพทย์ฉุกเฉินไม่เพียงพอ และ/หรือไม่บรรลุประสิทธิผลการดําเนินงาน ข) ควรถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้รับบทบาทหน้าที่ภายในจังหวัด และ ค) การปรับปรุงอัตราเงินสนับสนุนการจัดบริการ EMS ให้แก่หน่วยจัดบริการระดับพื้นที่ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้หน่วยบริการในพื้นที่
คําสําคัญ: การบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ความเหลื่อมล้ํามิติพื้นที่
In the past decade, after the implementation of the decree of emergency medical services B.E. 2551, there have been advances in the Thai emergency medical services as evidenced in an increasing use of EMS services. The supply side involves many agencies participating in EMS services. Situations vary from one province to another and this is a subject of interest and the focus of this research.
This research project has two objectives: The first objective is to study inequality among the provinces in relation to EMS by compiling data and analyzing demand and supply of EMS. The second objective tries to infer from the analysis, the effectiveness of EMS measurable in terms of time-responsiveness (within eight minutes), ambulance workload, and inefficiency of services in certain provinces/ regions. Discussion follows on policy options to expand EMS in the area where needs are high, in an effort to reduce inequality.
Research Methodology: The research used quantitative analysis of data with support from the National Institute for Emergency Medicine, which is called Information Technology for Emergency Medical System (ITEM). The data was analyzed and compared incidents and service provision by using implementation and effectiveness indicators. In addition, the research used qualitative methods in conducting fieldwork, interviewing stakeholders and conducting small group meetings. This aimed to extend roles of local administrative organization in providing EMS while considering area differences.
Research findings:
There are three important and urgent policy recommendations:
Keyword: emergency medical services, area-based inequality in lifesaving