

ชาวชุมชนแออัด เป็นกลุ่มคนที่ยากจนทั้งทางเศรษฐกิจและทางอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นการสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี หากจะพัฒนาประเทศไทยให้สามารถยกระดับเป็นเจ้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมก้าวทันโลก ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 จะต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตพื้นฐานของประชากรให้ดีอย่างเท่าเทียมเสียก่อน
ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมและความคิดของชาวชุมชนแออัดชุมชนแออัด เพื่อให้สามารถนำความเข้าใจดังกล่าวไปปรับประยุกต์เป็นนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมชีวิตของชาวชุมชนแออัดริมคลองแม่ข่าในแนวทางไทยแลนด์ 4.0 ได้ต่อไป
ชาวชุมชนแออัดคือกลุ่มคนชายขอบกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย ที่ส่วนใหญ่ประสบปัญหาร่วมกันคือไม่สามารถมีรายได้ที่เพียงพอจะมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงในเมือง รวมถึงปัญหาทางสังคมที่มักถูกตีตราในด้านลบ เช่น เป็นคนทำลายสิ่งแวดล้อมของเมือง เป็นแหล่งอาชญากรรมและยาเสพติด ชาวชุมชนแออัดที่อยู่ริมคลองแม่ข่าในจังหวัดเชียงใหม่คือชาวชุมชนแออัดที่สะท้อนปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันสังคมออนไลน์กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากกับชีวิตของผู้คน ไม่เว้นแม้แต่ชาวชุมชนแออัดเอง ทั้งด้านการเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ การเป็นพื้นที่ในการสร้างตัวตนใหม่ การเป็นพื้นที่ในการสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นของงานวิจัยพบว่า ชาวชุมชนแออัดริมคลองแม่ข่าได้มีวิถีชีวิตผูกโยงกับโลกออนไลน์อย่างเต็มตัวแล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้นงานวิจัยชิ้นนี้จึงต้องการทบทวนและตั้งคำถามต่อมายาคติว่าการใช้อินเตอร์เน็ตคือการทำอะไรที่ไร้สาระจริงหรือไม่ ทั้งนี้การศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของชาวชุมชนแออัดริมคลองแม่ข่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแนวนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐ เพื่อที่ภาครัฐจะได้ทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมและความคิดของชาวชุมชนแออัด และสามารถนำความเข้าใจดังกล่าวไปปรับประยุกต์เป็นนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมชีวิตของชาวชุมชนแออัดริมคลองแม่ข่าในแนวทางไทยแลนด์ 4.0 ได้ต่อไป
การเก็บข้อมูลครั้งนี้ เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้แบบสัมภาษณ์ การคัดเลือกผู้ให้สัมภาษณ์ใช้การกำหนดจำนวนผู้ให้สัมภาษณ์ตามช่วงอายุที่ต้องการ คือ ช่วงอายุ 13-23 ปี จำนวน 20 คน ช่วงอายุ 24-45 ปี จำนวน 14 คน และช่วงอายุ 46-60 ปี จำนวน 16 คน รวมทั้งสิ้น 50 คน
๏ ด้านการใช้อินเตอร์เน็ต มีคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และ Tablet โดยบางคนแบบจ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการใช้อินเตอร์เน็ตเฉลี่ยประมาณคนละ 675 บาท/เดือน
๏ ด้านการดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) มีผู้ที่เคย “ขาย” สินค้าหรือบริการในอินเตอร์เน็ต และมีผู้ที่เคย “ซื้อ” สินค้าและบริการในอินเตอร์เน็ต ด้วยแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ
๏ ด้านการใช้ค้นหาข้อมูล โปรแกรมค้นหาที่ใช้ ทุกคนเคยใช้ Google และโปรแกรมอื่น โดยเรื่องที่ค้นหาบ่อยที่สุด 4 อันดับแรกคือ (1) ความรู้ทั่วไปตามความสนใจเฉพาะ เช่น การทำอาหาร การซ่อมรถ การดูแลเด็ก เป็นต้น (2) ด้านการเรียนและการแปลภาษา (3) หาภาพยนตร์ต่าง ๆ (4) ใช้ค้นหาแผนที่
กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 13-23 ปี) จำนวน 20 คน
ในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ใช้อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวันเป็นปกติของชีวิต โดยนอกจากจะใช้ด้านการเรียนและสันทนาการ ยังใช้เพื่อการทำกิจกรรม E-Commerce ที่โดดเด่นคือ การซื้อบริการเติมเงินในเกมส์ และการใช้บริการขนส่งจาก Grab ทั้งแบบเดินทางและการสั่งอาหาร ในบางกรณียอมจ่ายเงินซื้อนิยายออนไลน์เดือนละ 400-500 บาท เพื่อเป็นการผ่อนคลาย รูปแบบการเป็นผู้ขายมีทั้งการผันตัวจากผู้เล่นเกมส์มาเป็นผู้ขายตัวละครในเกมส์ที่บางครั้งทำรายได้มากถึง 1,500 บาทต่อ 1 ตัวละคร และการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์เป็นอาชีพหลัก เนื่องจากการทำธุรกิจออนไลน์มีต้นทุนต่ำ พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ และมีความมีอิสระ ที่รายได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความขยันและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาเอง
กลุ่มนี้จะเน้นไปที่การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสื่อสารกับโลกกว้าง ดังนั้นประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาคือ การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ดังจะเห็นได้ว่า พวกเขาจะสร้างจุดเด่นของตนเองขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งและสื่อสารภาพลักษณ์นั้นออกไปในโลกออนไลน์ เช่น ความเป็นคนหน้าตาดี ความเป็นคนที่เล่นเกมส์เก่ง ทั้ง 2 ลักษณะนี้คือ อาจกล่าวได้ว่า เป็นการต่อสู้เพื่อนิยามตนเอง เพื่อเรียกหาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์บางอย่างที่พื้นที่ในชุมชนแออัดมอบให้เขาไม่ได้
กลุ่มวัยกลางคน (อายุ 24-45 ปี) จำนวน 14 คน
กลุ่มอายุนี้เป็นกลุ่มคนในวัยทำงานและมีครอบครัว พบว่าอาชีพการงานของบางคนล้วนมีอินเตอร์เน็ตเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทั้งการค้าขายออนไลน์ โดยการใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในหารายได้เสริม ประกอบกับการทำงานประจำของตัวเองไปด้วย ในบางกรณีใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการสั่งและโฆษณาสินค้า
นอกจากนี้โซเชียลมีเดียยังเป็นช่องทางในการส่งงานและติดตามการทำงาน เช่น กรณีของผู้ที่ประกอบอาชีพรักษาความปลอดภัยที่จะต้องรายงานการทำงานให้บริษัทที่ตนสังกัดรับทราบตลอดเวลา หรือกรณีของพนักงานเก็บขยะที่จะต้องถ่ายรูปในทุกจุดที่ไปเก็บและส่งรูปเข้าไปในกลุ่มไลน์ของที่ทำงานเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบได้ว่ามาทำงานครบถ้วนจริง
กล่าวโดยสรุป ลักษณะการใช้สื่อออนไลน์ของกลุ่มอายุ 24-45 ปี เน้นไปที่เรื่องการดิ้นรนทางเศรษฐกิจ (economic livelihood) เป็นสำคัญ เนื่องจากลักษณะงานที่ไม่ได้เป็นงานประจำที่มีรายได้ที่มั่นคงมากนัก จึงจำเป็นจะต้องประกอบอาชีพหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน ดังนั้นสื่อออนไลน์จึงเข้ามาเติมเต็มชีวิตในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี ในฐานะที่เป็นอีกช่องทางในการหารายได้โดยไม่ต้องลงทุนมากนัก
กลุ่มวัยผู้สูงอายุ (อายุ 46-60 ปี) จำนวน 16 คน
กลุ่มคนในอายุนี้ เลือกใช้โซเชียลมีเดียเพื่อรื้อฟื้นและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม เพื่อเติมเต็มความสุขบางอย่างให้กับชีวิตตัวเอง ทั้งการใช้เฟสบุ๊คและไลน์ในการกลับไปคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่ไม่ได้เจอกันแล้วในชีวิตประจำวัน หรืออีกกรณีสำคัญคือ ใช้คุยกับลูกหลานที่ย้ายไปทำงานหรือสร้างครอบครัวที่อื่น คุณป้าท่านหนึ่งตีความการได้คุยกับลูกและหลานผ่านวิดิโอในไลน์ว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง เพราะได้เห็นหน้าก็จริง แต่ไม่สามารถกอดหรือได้อยู่ใกล้กันได้ ซึ่งบ่อยครั้งหลังจากวิดิโอคอลกันเสร็จ ก็จะแอบร้องไห้คนเดียวเสมอ
ส่วนในด้านการทำธุรกิจซื้อขายออนไลน์ เกือบทั้งหมดไม่เคยเป็นผู้ซื้อทั้งสินค้าและบริการออนไลน์ แต่มีบางกรณีที่ผู้ขายใช้โซเชียลมีเดียโฆษณาของที่ตนเองขายอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน และสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม โปรแกรมค้นหาอย่าง Google คือเครื่องมือสำคัญของคนในกลุ่มอายุนี้ โดยใช้ค้นหาเรื่องความรู้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น สูตรอาหาร หรือบางกรณีที่เป็นคนชอบซื้อหวยก็ใช้ Google ในการหาเลขเด็ดอยู่เป็นประจำ ซึ่งรู้สึกถูกใจอย่างมาก เพราะมีเลขเด็ดให้อย่างมากมายโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ เลย
อ้างอิงจากรายงานวิจัย Wi-Fi สลัม: วิถีดิจิตอลของชาวชุมชนแออัดยุค 4.0 โดย พงศกร สงวนศักดิ์ นักวิจัยในแผนงานฯ คนไทย 4.0